หอคอยงานแต่งงานที่มีความสูงเกือบ 50 เมตร (‘Hochzeitsturm’ ในภาษาเยอรมัน) เป็นสถานที่สําคัญสไตล์ยิวช์สติลที่โดดเด่นที่สุดของดาร์มชตัท เนื่องจากที่นี่ตั้งอยู่บนยอดเขา เราจึงสามารถมองเห็นได้จากที่ไกลเมื่อเรากําลังปีนขึ้นไปยัง Mathildenhöhe หอคอยได้รับการออกแบบโดยสถาปนิกชาวออสเตรียอย่างโจเซฟ มาเรีย โอลบริช (Joseph Maria Olbrich) และมีรูปร่างที่แปลกแหวกแนว ซึ่งได้รับชื่อว่าหอคอยห้านิ้ว (Five - Finger Tower) เพราะหอคอยที่ปูด้วยทองแดงห้าเส้นของหลังคาทําให้คิดถึงมือที่ยืดออก แถวหน้าต่างเล็กๆ น้อยๆ น่ารักมาก สมาชิกกลุ่มศิลปินหลายคนได้มีส่วนร่วมในการประดับประดาหอคอย ที่ด้านบนของทางเข้าที่สวยงามตระหง่านก็มีรูปปั้นหินทรายขนาดใหญ่โดย Heinrich Jobst ซึ่งแสดงให้เห็นถึงสลักเลียนแบบผู้หญิงสี่ประการของคุณค่าของกษัตริย์ด้วยคุณลักษณะต่างๆ เช่น ความแข็งแกร่ง ภูมิปัญญา ความยุติธรรม และความเมตตา เราต้องใช้ภาพถ่ายใกล้ๆ ของเรา เพื่อขจัดคําอธิบายภาษาเยอรมัน ว่าหอคอยนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อรําลึกถึงการแต่งงานของกษัตริย์ดุ๊กแกรนด์เอิร์นส์ ลูดวิก กับกษัตริย์ดุชเชสเอเลโอโนรา โดยเมืองดาร์มชตัท ในปี 1907 - 1908 ด้านหน้าด้านใต้มีภาพโมเสกสีฟ้าละเอียดและสีทองที่รายล้อมไปด้วยสัญลักษณ์ดวงดาว 12 ตัวในเหรียญและบทกวี Rudolf G. Binding โดย Friedrich Wilhelm Kleukens ที่ด้านบนของด้านหน้าด้านเหนือ เราพบกับนาฬิกาสีทองเหนือซุ้มโค้งขนาดเล็กสามตัว แต่หากไม่มีกล้องส่องทางไกล เราไม่สามารถมองเห็นรายละเอียดใดๆ ได้ เมื่อก้าวเข้าไปในหอคอย เราตกตะลึงไปด้วยโมเสกขนาดใหญ่สองชิ้น โดยมีคลูเคนส์อยู่ใต้ซุ้มทองที่ประดับประดาไปด้วยดาวสีดํา อีกด้านหนึ่งมี "The Kiss" อันโด่งดัง " เช่นเดียวกับทูตสวรรค์สองตัวที่มีปีกปีกยาว คู่รักหนุ่มเปลือยที่กําลังจูบดูเหมือนลอยอยู่บนเตียงกุหลาบ บนผนังตรงข้าม โมเสกที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก แต่ก็สวยงามไม่แพ้กัน แสดงให้เห็นเทพธิดาฟอร์ตูนา (Fortuna) ในชุดสีขาวโปร่งใสที่ตั้งอยู่บนชื่อเอิร์นส์ ลูดวิก (Ernst Ludwig) และเอเลนอร์ (Elenore) เธอกําลังถือกอร์นูโคเปียสองตัว ซึ่งมีนกฮูกขาวที่มีดอกกุหลาบแดงอยู่บนบะหมี่บินออกมา ด้วยบรรยากาศสุดโรแมนติก ที่เหมาะสม เราได้ขึ้นลิฟต์ไปยังจุดชมวิวที่ชั้น 7 มองเห็นทิวทัศน์อันงดงามของสถานที่ตั้งของยูเนสโกและสภาพแวดล้อมโดยรอบ เราได้เห็นหอคอยของโบสถ์หลายแห่ง ทะเลสาบ Großer Woog และโดมสีทองของ Waldspirale ที่ยอดเยี่ยมที่เราวางแผนที่จะไปเที่ยวในภายหลังของวัน เมื่อเดินลงบันได เราพบกับห้องแกรนด์ดุชเชส (Grand Duchess’ Room) หรือห้องแต่งงาน (Bedding Room) ที่ชั้นห้า เนื่องจากผู้เข้าชมไม่ได้รับอนุญาตให้ก้าวเข้าไปข้างใน เราจึงสามารถมองจากประตูได้เพียงแค่นาทีเดียว และไม่สามารถมองเห็นห้องพักหรือถ่ายภาพภาพจิตรกรรมฝาผนังโดยฟิลิปป์ ออตโต ชอเฟอร์ได้ ซึ่งอาจทําให้เรารู้สึกสับสน เราชอบห้องแกรนด์ดุ๊ก (Grand Duke's Room) ที่ชั้นสี่ที่มีโถงถังสีฟ้าและส้มสดใสโดย Fritz Hegenbart แต่เราคิดว่าโมเสกชั้นล่างและวิวจากชั้นบนเป็นส่วนที่ดีที่สุดของการมาเยือนของเรา หอคอยแต่งงานไม่ได้เปิดให้บริการสําหรับนักท่องเที่ยวเมื่อมีการจัดพิธีแต่งงาน ดังนั้นจึงควรตรวจสอบเว็บไซต์ของสํานักงานท่องเที่ยวก่อนที่จะไปเยี่ยมชม

เป็นสถานที่ที่แปลกตาและคุ้มค่าแก่การมาเที่ยวชม หอคอยสไตล์อาร์ตเดโคที่มีโบสถ์แต่งงานอยู่ด้านบนสุด มีวิวสวยๆ จากมุมสูง