เมื่อท่านมาถึงสถานที่แห่งนี้แล้วท่านจะมองเห็นสะพานไม้ที่ทอดตัวยาวประมาณ500เมตร จากแหล่งชุมชนไปยังศาสนสถานที่ตั้งอยู่โดดเด่นเป็นสง่าเห็นได้ในระยะไกลที่สองฝั่งระหว่างทางเดินจะเต็มไปด้วยท้องทุ่งนาที่แต่งแต้มความงดงามในสีสรรที่แตกต่างตามฤดูกาล ในช่วงข้าวกำลังเติบโต ก็จะเป็นสีเขียวขจี เมื่อข้าวออกรวง สองฝั่งก็จะเป็นสีเหลืองทองอร่ามยามดวงตะวันสาดส่องลงมา ให้อารมณ์และสุนทรียภาพที่ต่างกันแต่สวยงามและเปี่ยมด้วยเสน่ห์ทุกแบบ บริเวณหมู่บ้านใกล้ๆสถานที่นี้ จะเป็นที่อยู่อาศัยของชาวไทใหญ่ ดังนั้นคำว่า"ซูตองเป้ "จึงเป็นภาษาไทใหญ่ แปลว่า อธิษฐานสำเร็จ หรือบางคนก็บอกว่าแปลว่า ความสำเร็จ ซึ่งมีความเชื่อกันว่า หากท่านได้มายืนอยู่กลางสะพานแล้วอธิษฐานขอความ ความสำเร็จใดๆ ก็จะพบกับความสมหวัง สะพานแห่งนี้จัดว่าเป็นสะพานไม้ไผ่ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย ใช้ระยะเวลาในก่อสร้างประมาณ 3 เดือน สะพานซูตองเป้ เป็นสะพานที่สร้างโดยชาวบ้านซึ่งเป็นชาวไทใหญ่และพระภิกษุสงฆ์ร่วมกันสร้างเพราะเกิดความศรัทธาของชาวบ้านที่มีต่อพระปลัดจิตตพัฒน์ อคคฺปัญโญ ประธานสงฆ์สวนธรรมภูสมะ จึงช่วยกันลงแรงสานสะพานไม้ไม้ไผ่ให้ทอดยาวไปบนที่นาของเจ้าของที่อุทิศผืนนาถวายวัดโดยสร้างเพื่อเชื่อมต่อระหว่างสวนธรรมภูสมะและหมู่บ้านกุงไม้สัก ข้ามผ่านทุ่งนา และแม่น้ำสายเล็กๆ เพื่อให้พระภิกษุสงฆ์และชาวบ้านที่อยู่อีกฝั่งได้ใช้สัญจรไป มาระหว่างหมู่บ้านได้สะดวกยิ่งขึ้นและเมื่อการสัญจรไปมาสะดวกขึ้นเด็กๆในชุมชนก็ได้รับโอกาสดีร่วมด้วยเพราะได้ใช้สะพานนี้เดินไปเรียนหนังสือที่วัดโดยมีพระสอนหนังสือภาษาไทยและวิชาอื่นๆเบื้องต้นพื้นฐานให้ฟรี หากท่านใดที่อยากจะมาสัมผัสบรรยากาศและร่วมทำบุญตักบาตรตอนเช้าพระสงฆ์จะเริ่มออกเดินบิณฑบาตในเวลาประมาณ06.00 น. ของทุกวัน โดยจะเดินจากสะพานฝั่งสวนธรรมภูสมะไปเรื่อยๆ จนสุดสะพานไปยังหมู่บ้าน และจะเดินกลับผ่านมายังสะพานและ กลับไปยังสวนธรรมภูสมะ ในเวลา 7 โมง ถึง 8 โมง ซึ่งหากท่านมาไม่ทันเวลา 6 โมงเช้า ก็สามารถมารอในช่วงเวลานี้ก็ได้ครับ

สะพานซึ่งาวบ้านช่วยกันสร้างสำหรับให้พระเดินเข้าหมู่บ้านเพื่อบิณฑบาตในตอนเช้ากลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวของหมู่บ้าน สะพานสวยงาม โดยเฉพาะช่วงนาข้าวสีทองในฤดูหนาวและสีเขียวในช่วงฤดูฝน