แคนเทอร์เบอรีตั้งอยู่ภายในกำแพงเมืองในยุคกลาง มีประวัติศาสตร์ยาวนานมากมาย ในยุคกลาง ฐานะการเป็นเมืองแห่งการจาริกแสวงบุญของแคนเทอร์เบอรีทำให้ที่นี่กลายเป็นสถานที่ใน “ตำนานแคนเทอร์เบอรี” อันเป็นต้นตำรับของชอเซอร์ ขณะที่ปัจจุบัน ถนนลาดหินและโบสถ์ใหญ่จากศตวรรษที่ 6 ของแคนเทอร์เบอรีก็ทำให้ที่นี่กลายเป็นจุดหมายปลายทางที่ต้องมาสักครั้งหนึ่งในอังกฤษ

โบสท์ในเทพนิยายอันเป็นสัญลักษณ์ที่สูงตระหง่านอยู่เหนือเกาะหินเล็กๆ ตรงกลางทะเลสาบเบลด (Lake Bled) ทำให้เบลดเป็นสถานที่ที่จะตรึงอยู่ในความทรงจำของคุณ เมืองนี้ได้เป็นจุดหมายปลายทางสำหรับผู้ที่แสวงหาการพักผ่อนมาเป็นเวลานานแล้ว ด้วยอากาศแบบเทือกเขาพร้อมแสงแดดที่สดใสและน้ำพุร้อนธรรมชาติ ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการพักผ่อนหลังจากการเดินเขา, เล่นกอล์ฟ หรือขี่ม้ามาแล้วทั้งวัน

เมืองท่าที่มีประชากรกว่า 275,000 คนบนชายฝั่งด้านเหนือของสเปนแห่งนี้ ได้เริ่มต้นจากการเป็นหมู่บ้านชาวประมงเมื่อประมาณ 3,000 ปีก่อน ในวันนี้ ที่นี่ได้กลายเป็นจุดออกเรือสำราญในภูมิภาคแถบนี้ ซึ่งทำให้มีผู้คนจอแจมากในช่วงหน้าร้อน (และทำให้เราสงสัยว่า ชาวประมงโบราณจะคิดอย่างไรกับเรือสำราญพวกนี้หนอ?) หมู่บ้านดั้งเดิมนั่นคือ ซีมาเดบียา (Cimadevilla) และถนนโรยกรวดแคบๆ ในหมู่บ้านได้ดึงดูดนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก และอุทยานเซอร์โร เดอ ซานตา คาตาลีน่า (Cerro de Santa Catalina) ที่ปลายสุดของคาบสมุทรซีมาเดบียาก็ทำให้ทัศนียภาพของแนวชายฝั่งสวยงามขึ้นไปอีกระดับ

เมืองเล็กๆ อย่างซิตเกส (Sitges) คึกคักไปด้วยงานเลี้ยงสังสรรค์ ชีวิตยามค่ำคืนนั้นโดดเด่น ผู้คนดูเตะตา และเทศการคาร์นิวัลประจำปีนั้นยิ่งใหญ่อลังการ แต่กระนั้นวิถีชีวิตที่ซิตเกสนั้นขัดต่อวัฒนธรรมบางแห่ง เพราะเมืองแห่งนี้มีชีวิตชีวาและยอมรับเพศที่สามอย่างเปิดเผย อาหารและเครื่องดื่มพื้นเมืองรสเลิศ คุณต้องไม่พลาดลองดื่มไวน์มัลวาเซีย (Malvasia) ที่ทำจากองุ่นสายพันธุ์ต้นกำเนิดมาจากกรีกโบราณ นอกจากนี้จะต้องไม่พลาดชมพิพิธภัณฑ์ Museu Romàntic "Can Llopis" หรือถ้าคุณมาเที่ยวที่ซิตเกสในเดือนตุลาคม อย่าพลาดชมเทศกาลหนังแห่งเมืองซิตเกสซึ่งเป็นเทศกาลหนังที่มีชื่อเสียงระดับโลก ฉายภาพยนตร์สยองขวัญ แนวกึ่งวิทยาศาสตร์ และแนวเหนือจินตนาการ