ในขณะที่นักท่องเที่ยวจำนวนมากมาที่นี่เพื่อพักผ่อนที่ชายหาด, เทศกาลศิลปะ และเทศกาลอาหาร ซาน เซบาสเตียน-โดโนสเตียน (San Sebastian-Donostia) ให้ความสำคัญกับอาหารและเครื่องดื่มอย่างมาก ถนนแคบๆ และลดเลี้ยวของย่านเมืองเก่าเต็มไปด้วยบาร์และร้านอาหารมากมาย ส่วนในตัวเมืองใหม่ก็มีคาเฟ่ข้างทางเดินอยู่ทุกหนทุกแห่ง เมืองนี้มีความเชี่ยวชาญในด้านอาหารทะเลอย่างมาก แต่คุณก็ต้องเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า อย่าคาดว่าจะได้ทานอาหารเย็นก่อนหนึ่งทุ่ม เพราะนั่นมันเร็วเกินไปสำหรับในสเปน แต่คุณก็สามารถรองท้องด้วยทาปาส แล้วค่อยทานมื้อหลักและดื่มให้เต็มที่ในช่วงดึกๆ ก็ได้

สตาแวนเจอร์เป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสี่ของประเทศนอร์เวย์ มีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 120,000 คนและผสมผสานระหว่างความเก่าแก่และความทันสมัยที่ลงตัว ประวัติศาสตร์ของเมืองนี้เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยยุคกลาง แต่เดิม สตาแวนเจอร์เป็นเมืองค้าขายริมฝั่งทะเลที่เงียบสงบ จากนั้นได้กลายเป็นท่าเรือตกปลาที่สำคัญ แต่สิ่งที่เปลี่ยนโฉมหน้าของเมืองนี้คือการค้นพบน้ำมันนอกชายฝั่งทะเลในปี 1969 ที่ทำให้เมืองนี้กลายเป็นเมืองและภูมิทัศน์ที่คึกคัก ห้ามพลาดเมืองเก่าที่ได้รับการอนุรักษ์เป็นอย่างดี (แกเมิล สตาแวนเจอร์) พิพิธภัณฑ์แคนนิ่งอันเป็นเอกลักษณ์ หรือวิหารสตาแวนเจอร์สมัยศตวรรษที่ 12

ซินายานั้นขึ้นชื่อด้านความสวยงามตามธรรมชาติและน้ำพุร้อนที่เชื่อกันว่ามีสรรพคุณในการรักษาโรคได้ เมืองหุบเขาที่น่ารักแห่งนี้ได้รับการขนานนามว่า “ไข่มุกแห่งคาร์เพเทียน” อันประกอบไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญหลายแห่ง อาทิ ปราสาท กิจกรรมแบบอัลไพน์ เช่น การเดินป่าและสกี รวมทั้งอารามเก่าแก่สมัยศตวรรษที่ 17 ซึ่งยังมีผู้อยู่อาศัยจนถึงทุกวันนี้

ห่างจากอัลตัลยาออกไปทางตะวันออกประมาณ 60 ไมล์ คุณจะได้พบกับไซด์หรืออดีตเมืองท่าท่สำคัญในสมัยโบราณ และได้กลายมาเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับการท่องเที่ยวยอดนิยม จัดทริปเที่ยวชมเมืองระหว่างวันที่นี่ก็คุ้มไม่หยอก หมู่บ้านแห่งนี้เรียงรายไปด้วยถนนสายแคบที่สวยงามและสวนน่ารัก ๆ ตลอดจนหาดทรายขาวที่ทอดตัวยาว เหมาะสำหรับการว่ายน้ำ มองเผินๆ ดูเหมือนอนุสาวรีย์โบราณอย่างอ่างโรมันและเสาในวิหารอพอลโลริมทะเล ซึ่งทำให้ที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวยุคใหม่ที่เจือกลิ่นอายประวัติศาสตร์ไว้อย่างสมบูรณ์แบบ