เราเพิ่งใช้วันหยุดห้าวันอันน่าประทับใจของเราไปที่โรงแรมนี้ เมื่อเรามาถึง เราได้รับการแนะนำว่าเรากำลังได้รับการอัพเกรดเป็นห้อง 207 แบบ Junior Suite ซึ่งห้องพักห้องนี้มีขนาดและมีบริเวณนั่งเล่นที่กว้างมาก อีกทั้งมีเครื่องชงกาแฟใช้เราด้วย และมีนมกล่องอยู่ในมินิบาร์เต็มไปหมดเลย เรามาถึงด้วยรถไฟตอน 20.00 น. ซึ่งหมายความว่าเราอยากจะหาอะไรกินกันแล้ว แต่เราไม่ต้องการลงไปกินที่ภัตตาคารแต่อย่างใด ก็เลยมีคนแนะนำให้เราไปที่บาร์ แต่ปรากฏว่าที่บาร์ก็กำลังจะปิดแล้ว เนื่องจากวันรุ่งขึ้นจะมีการจัดปาร์ตี้ของพนักงานนั่นเอง แต่เราสามารถสั่งอาหารและเครื่องดื่มบางอย่างได้บ้าง โดยมีพนักงานต้อนรับนั่นเองที่มาเสิร์ฟให้เรา ฉันก็เลยคิดว่านี่มันแปลกดีนะ สำหรับโรงแรมระดับท็อปขนาดนี้ เราได้รับเมนูมาซึ่งมีพิซซ่าให้เลือกอยู่สี่แบบด้วยกัน เราจึงสั่งไปถาดนึงเพราะกะจะเอามาแบ่งกันกิน แต่ให้ตายเถอะ เมื่อพิซซ่ามาเสิร์ฟเรารู้สึกผิดหวังอย่างแรง ทั้งในแง่ของขนาดและหน้าของพิซซ่า อย่างไรก็ตาม มันก็ถือว่าเพียงพอสำหรับพวกเราแล้วในตอนนั้น สำหรับอาหารเช้าในวันรุ่งขึ้น เราเลือกบุฟเฟต์เพื่อให้สามารถเลือกกินกันได้เองตามใจชอบ แต่ตรงส่วนนี้ก็ต้องยอมรับว่าฉันยังไม่พบว่ามันขาดอะไรไปเลย
หลังจากออกไปกินอะไรข้างนอกในวันต่อมาที่ภัตตาคาร Des Alpes ซึ่งต้องออกมาประมาณ 5 นาที เรามาที่นี่ตามคำโฆษณาของพนักงานนั่นเอง ในครั้งนี้เราสั่งพิซซ่าแบบเดียวกับที่สั่งในคืนแรกที่มาถึง และเมื่อพิซซ่ามาเสิร์ฟ ปรากฏว่ามันมีขนาดใหญ่มากเลย เราเลยกินกันได้เต็มที่คนละถาดเท่านั้นเอง มันช่างเทียบไม่ได้เลยกับพิซซ่าที่เรากินในคืนแรก ซึ่งเราได้เล่าให้พนักงานของโรงแรมฟัง และดูเหมือนเขาก็ค่อนข้างแปลกใจกับเรื่องที่เราเล่าอยู่เหมือนกัน เราสั่งพิซซ่ากลับที่พักแล้วเก็บเอาไว้ในตู้เย็นสำหรับกินในวันต่อไปด้วย และเนื่องจากบังเอิญในวันต่อมาฝนได้ตกลงมาอย่างหนักเลย เราก็เลยเอาพิซซ่าลงมาอุ่นแล้วนั่งกินกันในบาร์ จริงๆ แล้วมันรสชาติอร่อยมากเลยนะ ขอบอก! จากนั้นเราก็ไปเล่นน้ำกันที่สระว่ายน้ำในร่ม ซึ่งนับว่าเป็นอะไรที่ดีมากเลย เพราะน้ำมันไม่เย็นหรือร้อนเกินไปนั่นเอง
ในช่วงสองวันสุดท้ายเราทานอาหารกันที่ภัตตาคาร ซึ่งภรรยาของฉันไม่อยากกินอาหารในเมนู และฉันเองก็ไม่ได้อยากกินอาหารที่อยู่ในสิ่งที่เรียกว่าเมนู Snack เหมือนกัน ฉันถามพนักงานต้อนรับหน้าร้านว่ามีอะไรอย่างอื่นให้กินบ้าง แต่พวกเธอกลับตอบมาว่าไม่ทราบ แต่เดี๋ยวจะแจ้งให้ทราบในภายหลัง อย่างไรก็ตาม อาหารในตอนค่ำที่เราทานในมื้อนั้นรสชาติมันก็อร่อยมากเลย ปัญหาเรื่องเดียวก็คือในคืนสุดท้าย เราได้รับการบอกกล่าวว่าพนักงานของโรงแรมไม่พอทำงาน เพราะลาป่วยไปสองคน ดังนั้นเราสามารถทานอาหารได้เฉพาะช่วง 18.00 น. หรือ 21.00 น. เท่านั้น ฉันก็เลยบอกพนักงานต้อนรับไปว่านี่มันฟังดูตลกดีนะ และเนื่องจากเหตุผลทางการแพทย์ ภรรยาของฉันจะต้องทานอาหารให้ตรงเวลา 19.00 น. ซึ่งในที่สุดพวกเขาก็ยอมรับข้อเรียกร้องของฉันหลังจากที่ได้คุยโทรศัพท์กับผู้จัดการภัตตาคารไปหลายรอบแล้ว และก็เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในคืนแรกนั่นเอง พวกเรานั่งกันอยู่ในภัตตาคาร แล้วก็มองออกไปที่แม่น้ำ โดยที่แทบจะไม่มีลูกค้าคนอื่นๆ อยู่ด้วยเลย ยกเว้นสามีภรรยาคู่นึงที่เข้ามาขณะที่เรากำลังจะออกจากภัตตาคารไปในช่วง 20.00 น.
เราทำเรื่องเช็คเอาต์ออกจากที่นั่นในตอนเย็น เนื่องจากเที่ยวบินขาออกของเราในวันรุ่งขึ้นนั้นมันเช้ามาก แต่พวกเขาก็ทำบัญชีของเราไม่ถูกซะอีก เพราะจริงๆ เราได้จ่ายล่วงหน้าผ่านบริษัทรับจองไปแล้ว แต่พวกเขาจะคิดเงินเราอีก ในที่สุดเขาก็บอกว่าเราต้องจ่ายภาษีห้องพัก! ซึ่งสุดท้ายก็ตกลงจำนวนเงินกันได้ เป็นไปตามที่ฉันประมาณเอาไว้คร่าวๆ ตั้งแต่แรกนั่นแหละ ในเช้าวันต่อมาเราได้รับอาหารเช้าที่เราสั่งล่วงหน้าเอาไว้ แล้วเขาก็มีหม้อชาให้เราใบนึง เอาไว้จิบไปพรางๆ ขณะนั่งรอรถ Shuttle Bus เพื่อไปยังสถานีรถไฟต่อไป
ฉันขอแนะนำโรงแรมนี้ให้กับทุกๆ คน เพราะทุกๆ ที่ที่เราได้สัมผัส รวมถึงการแต่งตัวของพนักงานนั้นจะดูเรียบร้อยมาก น่าประทับใจ เป็นมิตร และพูดภาษาอังกฤษได้เสมอ โดยที่บางคนสามารถพูดได้ดีมากๆ เลยเมื่อเทียบกันคนอื่นๆ แต่ฉันขอแนะนำว่าควรจะมีเมนูสำหรับรูมเซอร์วิสเอาไว้ในห้องด้วย เช่นเดียวกันที่มีในบาร์และภัตตาคารเพิ่มเติม
- Wifi ฟรี
- สระว่ายน้ำ