ทริปนี้ 3 วัน 2 คืน ลงเครื่องที่สนามบินสุราษฎ์ธานี มีรถตู้จากที่พักมารับถึงสนามบิน แล้วไปต่อเรือหางยาวเพื่อไปแพที่พัก คุ้มมาก ๆ กับทริประยะสั้นช่วงหน้าฝนของเดือนสิงหา

บรรยากาศและธรรมชาติบนสันเขื่อนดีมาก พอเมื่อได้ลงเรือเพื่่อวิ่งไปพักในแพ ในเขื่อน จะขับผ่านขุนเขาตะหง่าน สลับซับซ้อนสวยงามมาก แสงแดด กระทบต้นไม้เขียวขจี สายน้ำเป็นสีฟ้าเขียว อากาศเย็นสบาย เมื่อได้ถึงแพที่พัก อากาศเย็นสบาย ไม่มีไฟฟ้าใช้ ตัดขาดจากโลกภายนอก ยามเย็นเล่นน้ำหน้าแพที่พัก เย็นสบาย ตื่นเช้ามาด้วยอากาศสดชื่นเย็นสบาย หมอกยามเช้าเบาๆ ตามยอดเขา

การเดินทางไปชมวิวทิวทัศน์ที่เขื่อนนี้ จะสวยงามเป็นพิเศษก็ตรงที่มีหมอกมาประกอบฉากกับบรรยากาศธรรมชาติตัดสีสันกับต้นไม้และผืนน้ำ

แน่นอนว่าจุดเด่นของที่นี่คือผืนน้ำและท้องฟ้าที่มีหมอกสวย แต่การเดินทางไปให้ประจวบเหมาะกับการเจอหมอก ก็ย่อมเป็นช่วงฤดูฝน อาจจะไม่สามารถออกเล่นน้ำได้ หรือไม่สามารถล่องเรือชมสัตว์ป่าโดยรอบ

การโดยสารเรือนั้นหากจังหวะที่กำลังข้ามฝั่ง เจอพายุฝนเข้า การเดินทางจะกลายเป็นมองไม่เห็นอะไรเลย แถมยังต้องทนนั่งเรือฝ่าพายุรวมชั่วโมง .. ไม่สามารถถามหาอุปกรณ์กันฝนหรือตัวช่วยอื่นๆได้ นอกจากเสื้อกันฝนพลาสติกเพียวๆ เรือที่พุ่งตัวไปข้างหน้าจะพาเอาหยดน้ำฝนซัดเข้าหาตัวแน่นอน ยังไงก็เปียก เนื่องจากลมที่ตีเข้าหน้าและพัดเสื้อกันฝนให้สะบัดตลอดเวลา .. ข้อสำคัญคือกระเป๋าเดินทาง !! ถ้าเป็นกระเป๋าผ้า หรือ กระเป๋าที่ไม่กันน้ำ ควรต้องใส่ถุงพลาสติกห่อทับ ทางเรือจะมีถุงขยะ ไม่ได้พิมพ์ผิด ถุงขยะ(ชนิดหนา) หรือ ถุงดำ(เรียกในชอฟท์ขึ้นมาหน่อย) ขายในราคาใบละ5-10บาท ไม่แน่ใจว่าขาไปมีขายที่ไหน พอดีจังหวะที่ฝนกำลังกระหน่ะทางคนเรือก็จับกระเป๋ายัดๆลงถุงเรียบร้อย ส่วนขากลับ ก็สามารถขอซื้อได้ที่เคาท์เตอร์ที่ห้องอาหาร

การพาผู้สูงอายุไปหรือเด็กเล็ก ควรต้องเตรียมความพร้อมไปมากพอสมควร
เนื่องจากเมื่อเดินทางเข้าไปที่แพลอยน้ำ จะไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากนัก