น้ำกรดสีฟ้าเทอร์ควอยซ์ทำให้ลืมความลำบากระหว่างทางไปเลย ทั้งหนาวเหน็บ ตลบอบอวลด้วยกลิ่นกำมะถัน... อ่านเพิ่มเติม
น้ำกรดสีฟ้าเทอร์ควอยซ์ทำให้ลืมความลำบากระหว่างทางไปเลย ทั้งหนาวเหน็บ ตลบอบอวลด้วยกลิ่นกำมะถัน... อ่านเพิ่มเติม
ทางเดินชัดเจน ไม่ยากมาก เป็นทางราบสลับกับทางชันประมาณ 45 องศา ค่อยๆเดินไป ใช้เวลาประมาณ 2-3... อ่านเพิ่มเติม
ต้องเริ่มเดินตั้งแต่ตี 1 เพื่อที่จะไปดู Blue Flame ตอนตี 3
ทางเดินขึ้นเป็นดินฝุ่น ไม่ชันมากเท่าไหร่ แต่ก็เหนื่อยพอสมควร
ด้านล่างมีทะเลสาปมรกต น้ำสีเขียว สวยงามมาก ไม่ควรพลาด!
หนึ่งในวิวที่สวยและแปลกตาที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา หยั่งกับหลุดไปบนดาวอังคาร
นอกจาก Blue Flame แล้ว ทิวทัศน์ในปล่องและเหมืองสวยมากๆ คุ้มค่ากับความเหนื่อยและเหงื่อทุกหยด !!
--- ถ้าต้องการไปดู Blue Flame
ต้องตื่นตั้งแต่ตี 1 เดินขึ้นเขาชันระดับ 30 - 45 องศา ใช้เวลาประมาณ 2 ชม.+
จากนั้นต้องไต่ลงไปในเหมืองอีกประมาณครึ่งชม ซึ่งใช่้ความระวังขั้นสุด ทางค่อนข้างอันตรายมากๆ
--- สิ่งที่ควรเตรียมไป
- ไฟฉายสำคัญมากไม่งั้นอาจะเดินตกเขาได้
- รองเท้าลุยๆหรือผ้าใบที่ใส่สบายและยึดเกาะสูง
- น้ำขวดเล็กซักขวด เป็นเครื่องดื่มเกลือแร่จะดีมาก
- ถ้าจะลงไปในเหมือง sulfur ควรมีหน้ากากกันแก๊ส
- ฟิตร่างกายไปซักหน่อย
ปล. ถ้าสามารถไปวันธรรมดาได้คนจะน้อยกว่าช่วง weekend
ออกเดินทางจากสนามบินดอนเมือง มุ่งหน้าสู่กัวลาลัมเปอร์ Klai2 สนามบินที่แสนจะคุ้นเคย ไปบ่อยมาก แต่ก็ยังหลงทุกที คืนนี้เรานอนกันที่สนามบิน เพื่อรอต่อเครื่องไปสุราบายาในตอนเช้า ในทริปนี้เราเป็นคนติดต่อไกท์ที่อินโดไว้ซึ่งในทริปแรกคือ คาวาอิเจียนและโบรโม่ ใจก็คิดหละ จะออกมาโอเคไหมนะ เค้าจะมารับที่สนามบินไหม เพราะบอกกับ Arif ไว้ว่าเราจะมาจ่ายเงินที่สนามบิน พอมาถึงสนามบินที่สุราบายาก็รีบหาอินเตอร์เนทเพื่อติดต่อกับ Arif เค้ามารอเราที่สนามบินเรียบร้อยแล้ว ค่าทัวร์ของเรา ไปกัน 7 คน เมื่อเจอกับไกท์ของเราเรียบร้อย ก็ออกเดินทางมุ่งหน้าสู่คาวาอิเจียน ใช้เวลาในการเดินทาง 7 ชม. ถนนของอินโดไม่ต้องพูดถึง ปวดก้นไปตามๆกัน ทรมานแบบสุดๆ พอถึงที่พักก็รีบทานข้าว อาบน้ำ นอน เพราะพรุ่งนี้เช้าต้องตื่นตั้งแต่ตีหนึ่ง เพื่อไปดูเปลวไฟสีน้ำเงินที่คาวาอิเจียน เพราะถ้าไปช้า เราจะมองไม่เห็นเปลวไฟ บอกเลย แค่ทริปแรก ร่างกายเราแย่มาก แพ้กลิ่นกำมะถันแบบสุดๆ เดินแทบไม่ไหว หายใจไม่ได้เลย คิดในใจรินจานี ไม่รอดแน่ แค่นี้เรายังเกือบตาย.....
สนุกมาก เป็นการผจญภัยที่่ท้าทาย
ออกเดินทางตื่นตี 2 พร้อมกับไกด์ที่น่ารักมาก
ใช้เวลาระยะเวลาเดินค่อนข้างนานค่ะ เพราะพักบ่อยมาก ใช้เวลาเดินประมาณ 7-8ชั่วโมง
ระหว่างเดินทางมืดมาก ควรพกไฟฉายไป
ทางค่อนข้างอันตราย ตอนปีนลงไปอีเจี้ยน ควรระวังใช้มือจับก้อนหินตลอด และมีผ้าปิดปาก เพราะกลิ่นกำมะถันแรงมาก ไม่เสียแรงกับการเดินทาง คุ้มค่า และสวยงาม ประทับใจมาก
ต้องออกเดินทางตั้งแต่ตี 3 เพื่อไปรอดู Blue Fire เดินทางขึ้นเขาเหนื่อยมากๆๆๆ ระหว่างทางจะเห็นคนงานที่ขนกำมะถันขึ้นมาขายตลอด แต่ลงไปใกล้ถึง Blue Fire กลิ่นกำมะถันจะแรงมาก ต้องใส่หน้ากากกันกลิ่นอย่างดี
ตอนไปฝนตกด้วย อากาศหนาวมาก แต่เมื่อเริ่มสว่างจะพบว่าตัวเองอยู่ตรงกลางปล่องภูเขาไฟ มองขึ้นไปด้านบน มันอลังการมาก เหมือนอยู่ยุโรปเลยทีเดียว ถ่ายรูปออกมาสวยมาก คุ้มค่ากับการตื่นเช้าและเดินขึ้นเขามาอย่างเหน็ดเหนื่อยมากๆ
นี่เป็นภูเขาไฟแรกในชีวิตของฉัน ซึ่งมันท้าทายร่างกายมากเพราะการจะขึ้นไปที่ปล่องภูเขาไฟ
ต้องเดินเท้าเท่านั้น! ระยะทางไปกลับน่าจะเกิน 10กิโลเมตร รวมทางชันทั้งหลายโค้ง
หากอยากพิสูจน์ร่างกายและจิตใจตัวเอง ที่นี่เป็นอีกที่ที่น่าสนใจเลยทีเดียว
เพราะตัวฉันเองก็เกือบจะถอดใจตอนครึ่งทางแล้ว แต่เมื่อได้ไปถึงปล่องมันภูมิใจมาก
*Blue Frame มีเพียง 2 ที่บนโลกนี้ ไกด์บอกว่าที่นึงอยู่ที่ไอซ์แลนด์ ส่วนอีกที่ก็คือที่นี้
**อย่าลืมหน้ากากกรองสารพิษ และถ้าเป็นไปได้ก็แว่นตากันควันเพราะตอนลมพัด
กำมะถันมา มันทรมานมากๆ