น้ำกรดสีฟ้าเทอร์ควอยซ์ทำให้ลืมความลำบากระหว่างทางไปเลย ทั้งหนาวเหน็บ ตลบอบอวลด้วยกลิ่นกำมะถัน... อ่านเพิ่มเติม
น้ำกรดสีฟ้าเทอร์ควอยซ์ทำให้ลืมความลำบากระหว่างทางไปเลย ทั้งหนาวเหน็บ ตลบอบอวลด้วยกลิ่นกำมะถัน... อ่านเพิ่มเติม
ทางเดินชัดเจน ไม่ยากมาก เป็นทางราบสลับกับทางชันประมาณ 45 องศา ค่อยๆเดินไป ใช้เวลาประมาณ 2-3... อ่านเพิ่มเติม
การเดินเท้าขึ้นไประยะทาง 3 กิโล กับความสูงชัน พูดเลยว่ามันเหนื่อยมากแทบขาดใจ ยิ่งสูงออกซิเจนยิ่งน้อยหายใจลำบาก บวกกับความชันของเขาที่เราต้องเดิน ทำให้ล้ามาก สูงไม่พอ ทางคดเป็นงูอีก เราเดินไปหยุดไปหลายรอบเลย มีทางเรียบๆแค่ 500 เมตรก่อนถึงปากปล่องเท่านั้นแหละ ตอนเราไปถึงยังเช้ามืดอยู่ ยังไม่เห็นทะเลสาบ แต่ได้ลงไปดู Blue fire ใกล้ๆ แปลกดีไม่เคยเห็นที่ไหน แต่กลินกัมมะถันแรงมาก ถ้าควันมาทางเราต้องใส่ที่ครอปกันแก๊สไว้เพราะเหม็นเหมือไข่เน่าเลย 5555 แถมควันจะทำให้แสบตาด้วย แต่โชคดีเราใส่คอนแทคเลนส์ ไม่ทำให้แสบตาเลย เราอยู่รอจนฟ้าสว่าง เห็นทะเลสาบอิจี้ยนชัดในตา มีหมอกลง น้ำสีฟ้า กว้างมาก สวยมาก เรางี้ถ่ายรูปไม่หยุดเลย
ระยะเวลาจากภูเขาไฟโบรโม่ มาที่พักใกล้ Ijen Crater ใช้เวลาประมาณ 8 ชม. ถนนระหว่างทางแย่มากก คนขับต้องมีความชำนาญสูง ผมไม่กล้าหลับเลย แต่พอมาถึงคุ้มค่าจริงๆครับ ผมไปช่วงพระจันทร์เต็มดวงด้วย ระหว่างทางเดินขึ้นไปปากปล่อง มองเห็นวิวภูเขา และพระจันทร์ บอกเลยว่า ฟินครับ
แนะนำให้หารองเท้าที่ยึดพื้นผิวดีๆ และ ควรหากิ่งไม้มาค้ำยันระหว่างเดิน มันช่วยได้เยอะทีเดียวครับ และระหว่างทางเดินลงไปทะเลสาบควรใช้ความระวังให้มาก ถ้าล้มไปจะแย่ครับ
ต้องเดินขึ้นไปตั้งแต่ตี 1 ถ้าต้องการดู blue flame
ทางเดินขึ้นค่อนข้างใช้เวลานาน เมืือเดินขึ้นไป แล้วจะต้องเดินลงไปดู blue flame ทางนั้นจะค่อนข้างเดินลำบากต้องใช้ความระมัดระวังสูงมาก
สำหรับคนที่ขึ้นไปตั้งแต่ตี 1 ไกด์จะให้ลงก่อน แต่จริงๆ แล้วไม่จำเป็น เพราะเราต้องลงไปรอ กลุ่มที่มาทีหลังที่ไม่ได้ซื้อทัวร์ blue flame ซึ่งเสียเวลา ไกด์น่าจะ่บอกให้เรารออยู่ข้างบน ดูทะเลสาบเป็นสีฟ้าดีกว่า เพราะยิ่งสายทะเลสาบจะยิ่งฟ้า
ต้องเริ่มเดินตั้งแต่ตี 1 เพื่อที่จะไปดู Blue Flame ตอนตี 3
ทางเดินขึ้นเป็นดินฝุ่น ไม่ชันมากเท่าไหร่ แต่ก็เหนื่อยพอสมควร
ด้านล่างมีทะเลสาปมรกต น้ำสีเขียว สวยงามมาก ไม่ควรพลาด!
หนึ่งในวิวที่สวยและแปลกตาที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา หยั่งกับหลุดไปบนดาวอังคาร
นอกจาก Blue Flame แล้ว ทิวทัศน์ในปล่องและเหมืองสวยมากๆ คุ้มค่ากับความเหนื่อยและเหงื่อทุกหยด !!
--- ถ้าต้องการไปดู Blue Flame
ต้องตื่นตั้งแต่ตี 1 เดินขึ้นเขาชันระดับ 30 - 45 องศา ใช้เวลาประมาณ 2 ชม.+
จากนั้นต้องไต่ลงไปในเหมืองอีกประมาณครึ่งชม ซึ่งใช่้ความระวังขั้นสุด ทางค่อนข้างอันตรายมากๆ
--- สิ่งที่ควรเตรียมไป
- ไฟฉายสำคัญมากไม่งั้นอาจะเดินตกเขาได้
- รองเท้าลุยๆหรือผ้าใบที่ใส่สบายและยึดเกาะสูง
- น้ำขวดเล็กซักขวด เป็นเครื่องดื่มเกลือแร่จะดีมาก
- ถ้าจะลงไปในเหมือง sulfur ควรมีหน้ากากกันแก๊ส
- ฟิตร่างกายไปซักหน่อย
ปล. ถ้าสามารถไปวันธรรมดาได้คนจะน้อยกว่าช่วง weekend
ออกเดินทางจากสนามบินดอนเมือง มุ่งหน้าสู่กัวลาลัมเปอร์ Klai2 สนามบินที่แสนจะคุ้นเคย ไปบ่อยมาก แต่ก็ยังหลงทุกที คืนนี้เรานอนกันที่สนามบิน เพื่อรอต่อเครื่องไปสุราบายาในตอนเช้า ในทริปนี้เราเป็นคนติดต่อไกท์ที่อินโดไว้ซึ่งในทริปแรกคือ คาวาอิเจียนและโบรโม่ ใจก็คิดหละ จะออกมาโอเคไหมนะ เค้าจะมารับที่สนามบินไหม เพราะบอกกับ Arif ไว้ว่าเราจะมาจ่ายเงินที่สนามบิน พอมาถึงสนามบินที่สุราบายาก็รีบหาอินเตอร์เนทเพื่อติดต่อกับ Arif เค้ามารอเราที่สนามบินเรียบร้อยแล้ว ค่าทัวร์ของเรา ไปกัน 7 คน เมื่อเจอกับไกท์ของเราเรียบร้อย ก็ออกเดินทางมุ่งหน้าสู่คาวาอิเจียน ใช้เวลาในการเดินทาง 7 ชม. ถนนของอินโดไม่ต้องพูดถึง ปวดก้นไปตามๆกัน ทรมานแบบสุดๆ พอถึงที่พักก็รีบทานข้าว อาบน้ำ นอน เพราะพรุ่งนี้เช้าต้องตื่นตั้งแต่ตีหนึ่ง เพื่อไปดูเปลวไฟสีน้ำเงินที่คาวาอิเจียน เพราะถ้าไปช้า เราจะมองไม่เห็นเปลวไฟ บอกเลย แค่ทริปแรก ร่างกายเราแย่มาก แพ้กลิ่นกำมะถันแบบสุดๆ เดินแทบไม่ไหว หายใจไม่ได้เลย คิดในใจรินจานี ไม่รอดแน่ แค่นี้เรายังเกือบตาย.....