สวยจนแทบหยุดหายใจ Julyเป็นช่วงhigh season... อ่านเพิ่มเติม
สวยจนแทบหยุดหายใจ Julyเป็นช่วงhigh season... อ่านเพิ่มเติม
วันที่ไป ฟ้าค่อนข้างเปิด เลยได้เห็นวิวชัดเจน สวยงามมาก มองเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อเลย ทางเดินไม่ยากเลย... อ่านเพิ่มเติม
ดีเลิศ
ภูเขาไฟที่ยังกรุ่นๆ อากาศหนาว ฝุ่นเยอะ
แต่บรรยากาศดีและสวยมาก
ที่ที่พลาดไม่ได้เลยคือไปจุดชมวิว รอพระอาทิตย์ขึ้นมาชมโบรโม่ในเวลาตีสี่ สวยสมการรอคอย
และทัวร์จี๊ปย่ำททะเลทรายภูเขาไฟ พร้อมเดินไปชมปากปล่อง
ตื่นเช้า นั่งรถจี๊บ 2 คัน ออกลุยโบรโม่ ระหว่างทางที่เราเดินขึ้นไปแบบสบายๆ คนเยอะมากกกกกก พวกเราไปนั่งรอพระอาทิตย์ขึ้นกันตั้งแต่ตีสี่ มีแต่หัวคนเต็มไปหมด จุดแรกเราไปยังจุดชมวิวของภูเขาไฟ ก่อนที่จะนั่งรถจี๊บต่อไปยังปากปล่องภูเขาไฟ เราเลือกขี่ม้า เพื่อที่จะทำเวลาและเก็บแรงไว้สำหรับไปรินจานี การขี่ม้าเดินแถวปากปล่องเป็นอะไรที่เสียวมาก กลัวจะตก ต้องเอียงตัวตาม 55555 ขอเดินดีกว่า กลัวมาก ขนาดม้าที่หัวหินเรายังไม่คิดจะขี่เลยสักนิด สวยงามตามภาพ ทริปนี้ชิลมาก สบายๆ ไม่เหนื่อย แต่เราก็เป็นไข้มาตลอดตั้งแต่ตอนกลางคืน กินยาไปเยอะมากทริปนี้
ทริปนี้้ ต้องออกเดินทาง ตี3
ต้องใช้รถจิ๊บในการเดินทาง เพราะถนนชันมาก แต่มอไซก็ไปเยอะอยู่ ส่วนใหญ่เป็นคนอินโดต้องขับเก่งด้วยค่ะ มีคนขับรถ พร้อมกับไกด์ 2 คน และเรา 4 คน รวมทั้งหมด 7 คน
อันดับแรก ไปชมพระอาทิตย์ขึ้นก่อน วิวสวยมาก
คนเยอะมากก วุ่นวายดี
หลังจากนั้นไปสู่ภูเขาไฟ เส้นทางไม่ไกล แต่เป็นทราย เลยเดินยาก ฝุ่นเยอะมาก ใช้ผ้าปิดปาก แต่เอาไม่อยู่ เข้าจมูก เข้าปากอยู่ดี ส่วนรองเท้าทรายเต็มเลย😅
ทั้งเหนื่อยทั้งร้อน สนุกมากกก ...... โบรโม่ 🌋
พวกเราออกเดินทางจากกรุงเทพไปย๊อกยากาต้าเพื่อเที่ยวบุโรพุทโธก่อน แอร์เอเชียจะมีเที่ยวบินไปถึงจาร์กาต้าตอนดึกและต่อไปย๊อกฯ ได้ตอนเช้ามืด ถึงย๊อกฯ เช้าตรู่ก็เที่ยวต่อได้เลย เราพบว่ามีคนไทยไม่น้อยที่เลือกเดินทางแบบนี้ เพราะนอนกันเกลื่อนสนามบิน 555 พี่ไทยทั้งนั้น
หลังจากเที่ยวย๊อกแล้วพวกเราก็ต่อรถไฟไปสุราบายา แล้วให้รถรับจ้างมารับไปโบรโม่ตอน 4 ทุ่ม ไปถึงโบรโม่เกือบตี 2 จึงตัดสินใจนอนรอในรถนั่นแหล่ะ เดี๋ยวตี 4 ก็ต้องขึ้นเขากันแล้ว เราติดต่อรถจี๊บไว้คันหนึ่งก่อนนอน พอตี 3 กว่าๆ ก็เริ่มได้ยินเสียงรถวิ่งออกไปทีละคัน พวกเราก็ไปบ้าง เพราะรถจี๊บก็มาจอดนอนรอเป็นเพื่อนกับเราอยู่ข้างๆ กันนั่นแหล่ะ
รถวิ่งไปราว 30 นาที ส่งพวกเราที่วิวพอยท์บนเขาพีนันจากัน คนยังบางตาและพวกเราได้ที่นั่งหน้าสุด ได้แสงจันทร์ช่วงส่องให้เห็นความงามเบื้องล่างแบบลางๆ จนเริ่มชัดขึ้นเมื่อพระอาทิตย์กำลังจะขึ้นมาแทนที่ เป็นวิวที่สวยแปลกตามากๆ ก็ดีใจที่เลือกมาเที่ยวที่นี่แทนที่จะไปไต้หวันกับเพื่อนอีกกลุ่ม
ช่วงที่เดินลงมาจากจุดชมวิว พอพ้นแนวร้านขายของก่อนจะเลี้ยวลงจุดจอดรถ จะมีอีกแนวสันเขาที่ชมโบรโม่ได้สวยไม่แพ้กันกับวิวพอยท์และมีคนไม่มาก เลยขอเอารูปมุมนี้มาแชร์ให้ดูละกัน ยังไงรูปจากวิวพอยท์ก็มีเยอะแยะเกลื่อนเน็ทอยู่แล้ว
ลงจากวิวพอยท์แล้วก็ไปขึ้นชมปล่องโบรโม่กัน ก็เดินกัน 30 นาทีพอได้ลิ้นห้อย แต่ควรจะเดินไปชมครับ เพราะไม่มีให้ดูในบ้านเรา ใครเดินไม่ไหวก็ใช้บริการม้าแถวนั้นก็ได้ แต่ยังไงก็ต้องเดินขึ้นปล่องเองครับ
อยากจะพูดถึงอีกเรื่องหนึ่งคือ ค่าธรรมเนียมเข้าอุทยานโบรโม่ ซึ่งบางทีรถจี๊บจะขอจากเราไปจ่ายให้ หรือกรณีของกลุ่มเราบอกว่าจะลดให้ด้วย ซึ่งก็เข้าใจกันได้ว่าเงินจะไปไหน ก็ขออย่าสนับสนุนเค้าครับ ช่วยเสียเวลาเล็กน้อย 5-10 นาทีให้คนขับพาไปจ่ายที่ที่ทำการ รับใบเสร็จมาให้เรียบร้อย เงินเข้าอุทยานไปจะได้เอาไว้จัดการให้เป็นสาธารณะประโยชน์นะครับ
ภาพวิวและบรรยากาศดีมาก ๆ อากาศหนาวตอนเช้า ตอนกลางวันเย็น ๆ กำลังสบาย หากมาถึงโบรโม่ในช่วงเย็น ควรได้นั่งจิบชาอุ่่น ๆ ชมพระอาทิตย์ตกหลังโบรโม่ ก็สวยสุด ๆ เหมือนกันครับ ไม่ต้องขึ้นไปจุดชมวิวตรงไหน สามารถเดินเข้าไปบริเวณลานชมวิวของโรงแรมแห่งหนึ่ง ก็ชมได้แล้ว
ในตอนเช้า หากมีเวลาพอ หลังจากชมพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว แนะนำว่าไม่ควรรีบ ควรใช้เวลาอยู่บนจุดชมวิวนาน ๆ รอให้นักท่องเที่ยวที่ลงมาเพื่อขึ้นปากปล่อง bromo ลงไปกันหมดก่อน
อ้อ หน้ากากกันฝุ่น "จำเป็น" มาก ๆ ครับ ฝุ่นขี้เถ้าภูเขาไฟละเอียดยิบจะปลิวฟุ้งจากจำนวนนักท่องเที่ยวมหาศาล และม้าที่ควบไปมา
เราไป 3 จุด จุดแรกคือจุดชมวิวที่ 2 ที่ต้องเดินขึ้นไปประมาณ 500 เมตร เพื่อไปรอดูโบรโม่ เรารอจนหมอกหายและได้รูปโบรโม่มาเต็มๆ และวิวของเมืองก็ตื่นตาไม่แพ้กันเลย ส่วนจุดที่ 2 คือจุดชมวิวที่ 1 อันนี้นั่งจี๊บขึ้นไปในเช้าวันถัดไปสบายหน่อย คนเยอะมาก มีที่นั่งรอดูพระอาทิตย์ขึ้น ได้ดูทะเลหมอกและโบรโม่ในอีกมุมหนึ่งที่สูงกว่าจุดชมวิวที่ 2 ขากลับนั่งจี๊บลงมาระหว่างทางก็สวยไม่แพ้กัน และก็มาจุดที่ 3 คือจุดจอดรถเดินขึ้นไปบนปากปล่องโบรโม่ มีม้าให้ขี่ ค่าบริการเท่าไหร่ไม่รู้ เพราะเราเดินขึ้นไป ระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร ทางเดินเป็นทรายผสมขี้ม้า เดินขึ้นไปถึงปากปล่องก็สวยงามไม่แพ้กัน ลงมานั่งจี๊บไปต่อ ทะเลหมอกเริ่มจางลง ภูมิประเทศที่คล้ายดวงจันทร์ เป็นหลุมเป็นบ่อ ที่ราบที่กว้าง ทะเลทราย ทุ่งสะวันน่า กำแพงผายักษ์ แถบนี้มีให้เห็นหมด... ประทับใจมาก